วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เอกภาพและบูรณาการสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบประกันสุขภาพ


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเชิงนโยบายเรื่องการสร้างความเป็นเอกภาพและบูรณาการสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบประกันสุขภาพภาครัฐครั้งที่ 5 โดยมี นายวิทยา  บุรณศิริ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุรวิทย์  คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ไพจิตร์  วราชิต  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมด้วย  ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน การดูแลระยะยาว  เรื่องยา การสร้างความเสมอภาคในการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เพื่อให้ผู้ป่วยใน 3 กองทุน ได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพต่อเนื่องแม้มีการเปลี่ยนสิทธิ์ และการพัฒนาบริการการแพทย์ผ่านระบบอินเตอร์เนต (Thailand  Healthcare Telemedicine CARE)


นายวิทยา กล่าวว่า รัฐบาลนำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เร่งเดินหน้าดำเนินการในเรื่องการสร้างความเสมอภาคในดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายขณะนี้ ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ รับยาต้านไวรัส 225,272 คน เป็นสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค 148,357 คน หรือร้อยละ 65.9  สิทธิประกันสังคม 46,114 คน หรือร้อยละ 20.5  สิทธิข้าราชการ 12,059 คน หรือ ร้อยละ5.4 และสิทธิอื่นๆ 18,742 คน หรือร้อยละ 8.3  โดยทั้ง 3 กองทุนได้มีเตรียมพร้อมที่จะดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งการรักษา  การบริหารยา/การเปลี่ยนสูตรยา ระบบสารสนเทศ การจัดหน่วยบริการ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ได้รับการดูแลที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง แม้มีการเปลี่ยนสิทธิ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา โดยมีระบบสารสนเทศกลางที่เชื่อมโยงทุกระบบและรักษาความลับผู้ป่วยอย่างเคร่งครัด  
ส่วนผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีผู้ป่วย 38,780 คน แบ่งเป็น สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค 20,077 คน สิทธิประกันสังคม 9,193 คน สิทธิข้าราชการ 8,810 คน โดย 3 กองทุนจะปรับเกณฑ์การเข้ารับบริการทดแทนไตเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยใช้มาตรฐานกลาง สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย รวมถึงปรับปรุงระเบียบให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเปลี่ยนสิทธิรักษาพยาบาลให้ได้รับการรักษาด้วยวิธีการเดิมอย่างต่อเนื่อง แม้มีการเปลี่ยนสิทธิ รวมถึงมีระบบข้อมูลสารสนเทศสำหรับประสานการรักษาการดูแลในภาวะภัยพิบัติ
 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้ทุกกองทุนดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุดตามมาตรฐานการรักษา รวมทั้งมีการ บูรณาการการป้องกันเพิ่มเข้าไปในบริการด้วย ทั้งโรคเอดส์และโรคไต การให้ความรู้ทางวิชาการ เพื่อลดผู้ป่วยรายใหม่ให้ได้มากที่สุด โดยระดมทรัพยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้งให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ วิจัยสาเหตุการเกิดโรคเรื้อรังทั้งโรคไตวายเรื้อรัง มะเร็ง เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

สำหรับการพัฒนาบริการการแพทย์ผ่านระบบอินเตอร์เนต (Thailand eHealthcare Telemedicine CARE) ที่เชื่อมโยงการรักษาระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)กับโรงพยาบาลแม่ข่าย เพื่อปรึกษาแพทย์ นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยขยายให้ครอบคลุมและเพิ่มการบริการให้มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง 

ด้านความก้าวหน้าบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555  เป็นต้นมา จนถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2555 ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ 2,353 คน ใน 191 รพ.เอกชน ใน 50 จังหวัด แบ่งเป็นบริการผู้ป่วยนอกร้อยละ 28  และผู้ป่วยในร้อยละ 72 ใช้บริการในเขตกรุงเทพมหานครร้อยละ 42 และต่างจังหวัดร้อยละ 58 เฉลี่ยผู้รับบริการวันละ 32 คน ซึ่งการให้บริการตามโครงการนี้สามารถช่วยชีวิตประชาชนได้ ร้อยละ 92.6

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น